สัญญาร้ายของประธานปีศาจ - ตอนที่ 259
ตอนที่ 259 ไม่มีโอกาสที่สองอีกต่อไปแล้ว
ทันทีที่พวกเขามาถึงโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็รีบเข้าไปรักษาตัวยังห้องรักษาผู้ป่วย หลังจากที่หมอพยาบาลช่วยประคบเย็นที่บริเวณบาดแผลของเธอแล้ว บริเวณแผลที่โดนน้ำร้อนลวกก็ทุเลาขึ้นค่อนข้างมากทีเดียว
โชคดีที่บริเวณแผลน้ำร้อนลวกนั้นไม่ได้รุนแรงมากเท่าไร แค่เพียงทาครีมและใช้ผ้าพันแผลปิดแผลเอาไว้ เท่านี้บาดแผลก็ได้รับการดูแลรักษาจนเกือบหายดีเรียบร้อยแล้ว
คุณหมอจ่ายครีมยาทาแผลน้ำร้อนลวกให้ จากนั้นก็กำชับเธอว่า “ถ้าจะให้ดีที่สุดคือช่วงนี้ต้องอย่าให้แผลโดนน้ำนะครับ แล้วก็งดรับประทานอาหารทะเลในช่วงนี้ก่อน ทานได้แต่อาหารรสจืด แล้วก็พักผ่อนให้มากๆ ครับ”
ลู่เหยาไม่รอให้ไป๋เสว่เอ๋อร์เอ่ยปากตอบกลับไป เขากลับรีบเอ่ยปากตอบรับคุณหมอออกไปแทน “ขอบคุณมากนะครับ คุณหมอ พวกเราจะทำตามนั้นครับ”
เมื่อรับครีมยาทาเรียบร้อยแล้ว ลู่เหยาก็พาไป๋เสว่เอ๋อร์ออกจากห้องรักษาผู้ป่วย เขาเอ่ยปากพูดขึ้นมาอย่างนุ่มนวลว่า “ขอโทษด้วยนะครับ เป็นเพราะผมไม่ได้ดูแลคุณเป็นอย่างดี เลยทำให้คุณต้องมาบาดเจ็บเสียได้”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ยิ้มให้กับเขา “รุ่นพี่ลู่ รุ่นพี่อย่าพูดแบบนี้เลยค่ะ มันเป็นแค่อุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง อย่าไปคิดมากเลยค่ะ”
ลู่เหยายิ้ม “ไม่ว่าคุณจะพูดอย่างไร ยังไงวันนี้ก็ถือว่าเป็นความผิดของผม ผมขอพาคุณไปเลี้ยงข้าวก็แล้วกัน ครั้งนี้คุณปฏิเสธผมไม่ได้แล้วนะ”
“แต่ว่า…ฉันยังไม่เลิกงานเลยนะคะ” ไป๋เสว่เอ๋อร์รู้สึกลังเลเล็กน้อย “ไว้เราค่อยนัดไปทานข้าวกันวันอื่นดีไหมคะ”
จากนั้นไป๋เสว่เอ๋อร์ก็เดินไปที่หน้าลิฟต์ ลู่เหย้าอยปากถามออกไปอย่างสุภาพว่า “เสว่เอ๋อร์ ผมนัดคุณตั้งหลายครั้งแล้ว แต่คุณไม่เคยยอมออกไปไหนมาไหนกับผมสองคนเลย หรือว่าคุณมีเหตุผลอื่นอยู่ในใจกันแน่ครับ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์นิ่งไปเล็กน้อย และก่อนที่เธอจะพูดอะไรออกมานั้น หูของเธอก็ได้ยินเสียงของชายหนุ่มดังขึ้นมาอีกครั้งว่า “ผมรู้แล้ว คุณมีแฟนแล้วสินะ”
เธอหันกลับไปมองลู่เหยาด้วยความประหลาดใจอย่างมาก “รุ่นพี่……รู้ด้วยเหรอคะ”
ลู่เหยาพยักหน้า รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความขมขื่นปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา “ตอนแรกที่ผมเพิ่งกลับมาที่นี่ ผมก็ยังไม่แน่ใจเท่าไร แต่ตอนหลังมาผมก็บังเอิญได้ยินคนอื่นเขาพูดกันว่าคุณมีเจ้าของเสียแล้ว”
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดต่อไปว่า “แต่ถ้าเกิดผมในฐานะรุ่นพี่ของคุณ จะขอเลี้ยงข้าวคุณสักมื้อ ก็คงจะไม่มีที่ไหนที่เราจะไปไม่ได้หรอกใช่ไหมครับ”
“รุ่นพี่ลู่คะ พี่อย่าคิดมากเลยค่ะ ไว้พวกเราว่างเมื่อไร ค่อยนัดเจอกันใหม่ก็ยังไม่สายไปนะคะ”
ลู่เหยาพยักหน้าอย่างลังเล “ครับ ถ้าอย่างนั้นผมจะไปส่งคุณนะ”
เป็นเพราะว่าเมื่อสักครู่นี้ไป๋เสว่เอ๋อร์ต้องจัดการกับแผลน้ำร้อนลวก ทำให้เธอต้องถอดเสื้อสเว็ตเตอร์ตัวนอกออก ทั่วทั้งร่างกายของเธอตอนนี้เหลือเพียงแต่เสื้อเชิ้ตด้านในกับเสื้อกันหนาวเท่านั้น เมื่อเธอเดินมาถึงประตูหน้าของโรงพยาบาล ทันทีที่มีลมหอบเอาความเย็นจัดพัดมาต้องตัวเธอ ไป๋เสว่เอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านเป็นทั้งตัวด้วยความหนาวเย็น
เมื่อลู่เหยาสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของหญิงสาว เขาก็รีบถอดเสื้อคลุมตัวนอกของเขาออก และนำมันวางคลุมลงบนไหล่ของไป๋เสว่เอ๋อร์อย่างรวดเร็ว
ในใจของไป๋เสว่เอ๋อร์อยากที่จะปฏิเสธออกไป แต่กลับได้ยินลู่เหยาพูดออกมาอย่างสุภาพว่า “วันนี้ที่คุณบาดเจ็บมันก็เป็นเพราะผมนะครับ ช่วงนี้อุณหภูมิก็ต่ำลง ยังไงผมก็ควรจะต้องดูแลคุณนะครับ”
เมื่อเห็นทัศนคติที่แนวแน่ของชายหนุ่มแบบนี้แล้ว ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกมาอีก และยอมให้เสื้อคลุมนอกของเขาวางอยู่บนไหล่ของตัวเองต่อไป
ทั้งสองคนเดินเคียงข้างกันไปถึงบริเวณบันไดทางเข้า ลู่เหยาเอื้อมมือของเขาออกไป และคอยประคองแขนของไป๋เสว่เอ๋อร์อย่างเป็นธรรมชาติ “ระวังบันไดครับ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์รู้สึกลำบากใจกับความระมัดระวังของเขา เธอก็หันไปยิ้มให้กับเขา “ขอบคุณค่ะ รุ่นพี่”
เมื่อเธอก้าวลงบันไดไปได้ไม่กี่ขั้น หลังของไป๋เสว่เอ๋อร์ก้รู้สึกเย็นวาบขึ้นมาในทันที เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นโดยบังเอิญ เธอก็พบกับเผยลี่เชินที่ยืนอยู่ที่ขั้นบันไดล่างสุดซึ่งห่างกับเธอออกไปไม่กี่ขั้น
ทันใดนั้น ร่างกายของเธอก็แข็งทื่อไปชั่วครู่ เมื่อเผชิญหน้าเข้ากับสายตาที่แสนเย็นชาของชายหนุ่ม ชั่วครู่นั้นเธอก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาในทันที
เธอคาดไม่ถึงว่าเผยลี่เชินจะมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ในเวลาแบบนี้ และยังต้องมาเห็นพวกเธอสองคนในสภาพที่ดูใกล้ชิดสนิทสนมกันแบบนี้ด้วย เธอรีบชักมือของตัวเองออกมาจากมือของลู่เหยาในทันที พร้อมกับเดินลงบันไดไปและเอ่ยปากถามชายหนุ่มว่า “คุณมาที่นี่ได้ยังไงคะ”
เผยลี่เชินก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อย พร้อมกับถามหญิงสาวอย่างแผ่วเบาว่า “แฟนของผมโดนน้ำร้อนลวก คิดว่าผมจะทนนั่งอยู่เฉยๆ โดยไม่สนใจได้เหรอ”
เขาวางมือของเขาลงบนไหล่ของไป๋เสว่เอ๋อร์ และพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนขึ้นมากทีเดียวว่า “โดนลวกตรงไหนล่ะ ให้ผมดูหน่อยสิ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์รู้สึกเขินอายเล็กน้อย “ค่อยกลับไปดูก็แล้วกันค่ะ”
“โอเค” เผยลี่เชินตกปากรับคำ จากนั้นเขาก็ถอดเสื้อคลุมที่วางอยู่บนไหล่ของไป๋เสว่เอ๋อร์ออกเสีย และส่งมันคือให้กับลู่เหยา พร้อมกับถอดเอาเสื้อคลุมของตัวเอง มาวางคลุมไหล่ของหญิงสาวเอาไว้แทน เขามองลู่เหยาและพูดด้วยเสียงเข้มว่า “ขอบคุณประธานลู่มากนะครับที่ช่วยดูแลแฟนของผม ถ้าเกิดคราวหน้ามีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก รบกวนคุณช่วยโทรหาผมทันทีด้วยนะครับ”
น้ำเสียงของเขามีความเย็นชาผสมอยู่เล็กน้อย และสายตาที่มองลู่เหยานั้นก็ยิ่งเยือกเย็นและดูกดดันมากด้วย
เมื่อได้ยินชายหนุ่มพูดเช่นนั้นแล้ว สีหน้าของลู่เหยาก็จริงจังขึ้นมาเล็กน้อย แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ฉีกยิ้มออกมา พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “ไม่เป็นไรครับ เสว่เอ๋อร์เป็นรุ่นน้องของผม ยังไงผมก็ต้องดูแลเธออยู่แล้วครับ ผมยินดีมากเลยครับ”
ขณะที่เขาพูดอยู่นั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่ไป๋เสว่เอ๋อร์ พร้อมกับยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน
ทั้งคำพูดและสำบัดสำนวนของชายหนุ่มนั้น สำหรับเผยลี่เชินแล้ว ถือเป็นการยั่วยุอย่างโจ่งแจ้งโดยไม่เกรงกลัว เผยลี่เชินยกมือขึ้นและคว้าตัวไป๋เสว่เอ๋อร์เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดเขาอย่างเบามือ “ผมเกรงว่าประธานลู่คงจะไม่มีโอกาสที่สองแล้วล่ะครับ”
ทันใดนั้น สงครามขนาดย่อมก็ปะทุขึ้นระหว่างชายหนุ่มสองคน ไป๋เสว่เอ๋อร์มองดูสีหน้าที่แสนเย็นชาของชายหนุ่มสองคน และรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เธอจึงรีบเอ่ยปากและพูดเบาๆ ว่า “เอาล่ะ ขอบคุณประธานลู่นะคะที่มาส่งฉันที่โรงพยาบาล ถ้าเกิดไม่มีอะไรแล้ว พวกเราขอตัวก่อนนะคะ”
เมื่อได้ยินไป๋เสว่เอ๋อร์เปลี่ยนวิธีเรียกชื่อของเขาในทันที สายตาของลู่เหยาก็จริงจังขึ้นมาเล็กน้อย เขาพลางยิ้มพลางพยักหน้าให้หญิงสาว “ครับ”
ขณะที่เขาพูดอยู่นั้น เขาก็เงยหน้าและมองไปที่เผยลี่เชิน พร้อมกับพูดอย่างสุภาพว่า “เมื่อกี้คุณหมอท่านเพิ่งกำชับบางอย่างมาด้วยครับ ผมจะบอกคุณเอาไว้ว่าบาดแผลนั้นห้ามโดนน้ำระยะหนึ่ง ห้ามกินอาหารทะเล ให้กินแต่อาหารเบาๆ เท่านั้น แล้วก็ให้พักผ่อนมากๆ ครับ”
ความลังเลปรากฏขึ้นในสายตาของเผยลี่เชินเล็กน้อย จากนั้นเขาก็เอ่ยปากพูดออกไปว่า “ผมเข้าใจแล้วครับ ผมจะดูแลเธอเป็นอย่างดีเอง ถ้าวันไหนประธานลู่ว่างล่ะก็ ผมขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงข้าวคุณสักมื้อนะครับ เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณคุณในครั้งนี้”
เมื่อเขาพูดจบ เผยลี่เชินก็กอดไป๋เสว่เอ๋อร์และหันหลังเดินตรงไปขึ้นรถยนต์ที่จอดสนิทรออยู่บนถนน
ขณะที่กำลังมองดูแผ่นหลังของพวกเขาทั้งสองคนเดินจากไป รอยยิ้มที่เคยอยู่บนใบหน้าของลู่เหยาก็ค่อยๆ มลายหายไป สายตาของเขายังคงจ้องมองไปที่ไป๋เสว่เอ๋อร์อยู่เป็นเวลานาน ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็หมุนตัวหันหลังและเดินไปยังทางอื่นแทน
เมื่อขึ้นไปบนรถแล้ว ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็อดไม่ไหวที่จะเอ่ยปากถามชายหนุ่มเบาๆ ว่า “คุณต้องทำงานอยู่ที่บริษัทไม่ใช่เหรอคะ ทำไมถึงรู้ว่าฉันบาดเจ็บได้ล่ะคะ”
เผยลี่เชินมีสีหน้าจริงจังเล็กน้อย เขาเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับถามกลับไปว่า “ถ้าผมไม่ให้โจ๋วฝันคอยติดตามคุณ คุณก็คงไม่คิดจะบอกผมว่าคุณบาดเจ็บสินะ”
เมื่อสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของชายหนุ่ม ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มที่มุมปาก พร้อมกับพูดออกไปว่า “คูณโกรธฉันเหรอคะ”
เผยลี่เชินนิ่งเงียบและไม่ยอมพูดอะไรออกมา ใบหน้าที่เย็นชาราวน้ำแข็งของเขาสะท้อนความรู้สึกที่อยู่ภายในออกมา
ไป๋เสว่เอ๋อร์เอื้อมมือออกไปลูบหัวของเขาอย่างเบามือ ราวกับว่าเป็นการปลอบโยนชายหนุ่ม “เอาน่า ฉันไม่ได้บาดเจ็บสาหัสอะไรสักหน่อย ฉันไม่กล้าที่จะรบกวนการทำงานของคุณหรอกค่ะ”
เผยลี่เชินขมวดคิ้ว “ไป๋เสว่เอ๋อร์ คุณยังไม่เข้าใจอีกเหรอ ในสายตาของผม คุณสำคัญกว่างานพวกนั้นเป็นร้อยเท่าพันเท่านะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ยิ้มขึ้นที่มุมปาก ขณะที่เธอยังไม่ทันได้พูดอะไรออกมา เธอก็ได้ยินเสียงชายหนุ่มดังขึ้นมาที่ข้างหูอีกครั้ง “ผู้ชายที่ชื่อลู่เหยาคนนั้น เขาชอบคุณใช่ไหม”
ไป๋เสว่เอ๋อร์นิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นเธอก็ปฏิเสธออกไปโดยไม่รู้ตัวว่า “จะเป็นไปได้ยังไงกันคะ ไม่มีทางหรอก เขาเป็นรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยของฉัน เป็นเรื่องปกติที่เขาจะต้องเป็นห่วงฉัน อีกอย่างเขาก็ปฏิบัติกับทุกคนดีเท่ากันหมดค่ะ”
ถึงแม้ว่าหญิงสาวจะพูดออกมาเช่นนี้ แต่เมื่อครู่นี้ เผยลี่เชินกลับสัมผัสได้ถึงความเป็นศัตรูอันแรงกล้าที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวของลู่เหยา เขาเชื่อมั่นในสัญชาตญาณของตัวเอง
เมื่อรวมเอาสายตาที่ลู่เหยามองดูไป๋เสว่เอ๋อร์ กับน้ำเสียงที่ดูเป็นห่วงเป็นใยหญิงสาวเข้าไว้ด้วยกันแล้ว ช่วยไม่ได้ที่จะทำให้ชายหนุ่มคิดมากในเรื่องนี้
เผยลี่เชินเอื้อมมือของเขาออกมา และคว้าตัวไป๋เสว่เอ๋อร์เข้าไปกอดในอ้อมเขน พร้อมกับพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ผมไม่ชอบให้คุณไปไหนมาไหนกับเขา”
ในที่สุด ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็เข้าใจเขาแล้ว ที่แท้เผยลี่เชินก็หึงเธอนี่เอง
เธอยกมือขึ้นและเอื้อมมือไปเกาคางของเผยลี่เชินอย่างเบามือ พร้อมกับถอนหายใจออกมาที่เต็มไปด้วยนัยสำคัญว่า “ที่แท้คุณก็หึงนี่เอง!